OyamaTanzawa

大山丹沢 เขาใหญ่แห่งทังสะวะ

จังหวัดคานากาว่า เป็นจังหวัดที่มีความสวยงามของธรรมชาติอยู่มากมายทั้งภูเขาและทะเล เรียกว่ามาแค่จังหวัดเดียวก็สามารถชมความงามได้ทั้งสองแบบ โดยส่วนตัวแล้วมีความผูกพันกับจังหวัดนี้พอสมควร เพราะเคยมาใช้ชีวิตอยู่ 3-4 ปี แต่ช่วงนั้นแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสความงามของคานากาว่าเลย เพราะมีภารกิจรัดตัวมากมาย 

ครั้งนี้มีโอกาสมาเยือนคานากาว่าอีกครั้ง จึงไม่พลาดที่จะเก็บเกี่ยวความสวยงามของธรรมชาติที่นี่ และแน่นอน ถ้าให้เลือกว่าจะไปภูเขาหรือทะเลนั้นก็ต้องเลือกภูเขาอยู่แล้ว เพราะทะเลแม้จะสวยแต่มันดูเวิ้งว้างไร้จุดหมาย ส่วนภูเขามีจุดหมายชัดเจนที่ทุกคนเห็นตรงกัน นั่นคือยอดเขานั่นเอง เป็นคนชอบความชัดเจนเลยชอบภูเขามากกว่าทะเล :-)

จุดหมายของวันนี้จึงเป็นที่ยอดเขา Oyama ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเทือกเขา Tanzawa เขตอำเภอ Isehara จังหวัด Kanagawa ชื่อภูเขาลูกนี้ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็จะคุ้นหูมากเลย คำว่า 大 แปลเป็นไทยว่า "ใหญ่" ส่วนคำว่า 山 นั้นแปลเป็นไทยว่า "ภูเขา" แปลรวมกันแล้ว 大山(Oyama) ก็เลยแปลว่า "เขาใหญ่" นั่นเอง แต่ที่ญี่ปุ่นมีภูเขาที่ชื่อ Oyama หลายลูก ถ้าจะระบุให้ชัดเจนก็ต้องใส่ชื่อที่ตั้งไปด้วยภูเขาลูกนี้เลยมีชื่อแบบเต็มๆว่า Oyama Tanzawa (ภาษาอังกฤษใช้ Tanzawa Oyama แต่ภาษาญี่ปุ่นใช้ 大山丹沢 คำว่า Oyama Tanzawa นี้เรียกตามภาษาญี่ปุ่น) เมื่อชื่อชัดเจนอย่างนี้แล้วเช็คข้อมูลใน google ก็จะไม่ผิดพลาดแน่นอน

การเดินทางมายังภูเขานี้ต้องลงรถไฟที่สถานี Isehara จากนั้นเดินออกทางประตูทิศเหนือ(北口)เดินออกมาก็จะเห็นป้ายรถบัสที่มุ่งตรงไปสู่ภูเขา Oyama 

มาที่นี่ไม่ต้องกลัวหลงทางเลย เพราะเพื่อนร่วมทางเยอะมาก เห็นคนแต่งชุดปีนเขาก็เดาได้เลยว่าไปภูเขา Oyama แน่นอน ค่าโดยสารจากสถานี Isehara ถึง Oyama Cable Station ราคา 310 เยน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-40 นาที

เมื่อลงจากรถบัสแล้วก็จะสัมผัสบรรยากาศแห่งขุนเขาได้ทันที

เพื่อความชัวร์ ก็เช็คแผนที่อีกซักรอบ จะได้วางแผนการเดินทาง และนัดแนะเวลา และจุดนัดพบกัน เผื่อขึ้นไปบนเขาแล้วจะแยกกันเดินไปชมจุดต่างๆตามอัธยาศัย

จากนั้นก็ออกเดินตามถนนเพื่อไปขึ้นรถรางอีกประมาณ 10 นาที

ก่อนถึงทางเข้าสถานีรถราง (Oyama Cable Station) จะมีร้านขายของฝากอยู่สองข้างทาง เป็นของฝากสไตล์ญี่ปุ่นที่ดูดีเลยทีเดียว



เดินชมร้านขายของไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดซื้อตั๋วขึ้นรถราง และเนื่องจากวันนี้เพื่อนร่วมทางเยอะมากต้องยืนต่อคิวซื้อตั๋วประมาณ 40 นาที


ระหว่างต่อคิวรอซื้อตั๋วก็ถือโอกาสทบทวนแผนการเดินไปด้วย และเมื่อได้ตั๋วมาก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางจริงๆแล้ว

ใช้เวลาอยู่บนรถรางประมาณ 10-15 นาที ในที่สุดก็มาถึงสถานี Afuri ซึ่งเป็นชื่อของศาลเจ้า และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินสู่ยอดเขา Oyama

เมื่อเดินมาถึงศาลเจ้า Afuri แล้วก็ได้เห็นบรรยากาศความคึกคักอีกครั้ง ทุกคนดูเบิกบานและเตรียมตัวสำหรับการเดินขึ้นสู่ยอดเขา


ทางคณะของเราเองก็ตกลงกันว่าจะใช้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดนัดพบ โดยตั้งเวลารวมตัวไว้ที่ 15.30 น. ถ้าใครจะเดินขึ้นยอดเขาก็ต้องเผื่อเวลาเดินลงมาให้ทันด้วย จากศาลเจ้าไปถึงยอดเขานั้นแบ่งเป็น 28 ระดับ (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่ง อาจจะใช้เส้นระดับความสูงแบ่ง ถ้ามีเวลาค่อยกลับมาเช็คอีกที)

การเดินขึ้นเขานั้นใช้เวลาประมาณ 90 นาที ส่วนเดินลงเขานั้นประมาณ 60 นาที เริ่มต้นแยกย้ายกันตอนเวลาประมาณ 12.00 น. ดังนั้นจึงมีเวลาพอสมควรสำหรับการเดินขึ้นลง หรือแวะชมจุดต่างๆ แล้วกลับมาจุดนัดพบให้ทัน


เมื่อกำหนดแผนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดิน ทีแรกก็หาทางเดินขึ้นเขาไม่เจอจึงอาศัยว่าเดินตามคนญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ แล้วก็เห็นจุดที่คนญี่ปุ่นไปขอพรกัน

พอเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงมองเห็นประตูสู่ยอดเขา Oyama (อยู่ขวามือจุดขอพร)


เริ่มต้นเส้นทางสู่ยอดเขา Oyama ด้วยบันไดชันๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีกี่ขั้น มัวแต่ตื่นเต้นกับความชันของบันไดเลยลืมนับขั้นไปเลย

มองกลับลงไปข้างล่างเพื่อเช็คความชันอีกที และเพิ่มกำลังใจให้ตัวเองว่าผ่านขั้นแรกมาได้แล้ว

มองดูข้างหลังเสร็จก็กลับมามองข้างหน้าต่อ เพื่อให้รู้ความจริงว่ายังมีความชันรออยู่อีกพอสมควร

ระหว่างเดินก็แวะชมความงามสองข้างทางไปด้วย และเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว

นอกจากเป้าหมายที่จะไปให้ถึงยอดเขา(เพื่อเติมพลัง) และการชมความงามสองข้างทางแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้เดินได้เรื่อยๆ คือภาพของเด็กๆที่มาเดินกับคุณพ่อคุณแม่ เด็กที่มาเดินนั้นมีตั้งแต่เด็กที่ยังเดินไม่ได้ (พ่อแม่อุ้มเดิน) เด็กอนุบาล, เด็กประถม และเด็กมัธยมเลยทีเดียว เด็กๆเขายังเดินได้ แล้วทำไมอดีตเด็กอย่างเราจะเดินไม่ได้ ว่าแล้วก็เดิน เดิน เดิน :-)

ระหว่างทางนั้นก็เห็นหินประหลาดก้อนนึง(จะเรียกว่าประหลาด หรือพิเศษดี) ที่ว่าประหลาดนั้นเพราะมีเชือกพันอยู่ ทีแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอเดินผ่านไปสักพักก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าหินก้อนนี้ไม่มีอะไรดีเขาคงไม่เอาเชือกมาพันหรอก เลยเดินย้อนกลับไปดู เหนื่อยเพิ่มอีกนิด แต่ดีกว่าปล่อยให้คาใจ

เห็นข้างๆมีรูกลมๆอยู่ คิดว่าความพิเศษน่าจะเป็นรูนี้นี่เอง (เพราะในรูมีเงินด้วย)

อ่านป้ายข้างๆดูถึงได้รู้ว่า รูนี้เชื่อว่าเกิดจากการที่ปิศาจ เทงกุ (ปีศาจจมูกยาวหน้าแดง อาศัยอยู่ในภูเขา) ใช้จมูกเจาะเข้าไปในหิน ไม่รู้ว่าปิศาจเทงกุเป็นคนเจาะรูนี้จริงหรือเปล่า แต่ปิศาจอย่าโผล่มาตอนนี้แล้วกัน เพราะจะวิ่งหนีขึ้นข้างบนหรือลงข้างล่างก็คงต้องเหนื่อยมากๆเลย ที่สำคัญตอนนี้จะมีแรงให้วิ่งมั้ยเนี่ย :-(

ผ่านเรื่องน่ากลัวมาแล้ว ตอนนี้ดูอะไรที่ทำให้สบายใจดีกว่า อยู่บนเขาหาอารมณ์สบายได้ง่ายๆ แค่มองออกไปสองข้างทาง


มองข้างทาง ได้อารมณ์สบาย แต่มองไปข้างหน้าก็เจอความชันรออยู่ การเดินครั้งนี้ได้รู้ว่าความชันมันบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจได้มากจริงๆ

แต่แล้วก็เห็นภาพหนูน้อยกำลังต่อสู้กับความชันไปพร้อมๆกับคุณพ่อ เลยเกิดแรงฮึดขึ้นมาอีก

เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มได้เห็นความเปลี่ยนแปลง นอกจากเส้นทางชันๆ แล้วยังมีสะพานไม้อยู่ด้วย มองเห็นสะพานไม้นี้แล้วก็เกิดกำลังใจขึ้นมาอีกที รู้สึกว่าคนที่มาสร้างสะพานนี้เขาคงอยากอำนวยความสะดวกให้คนเดิน ยอมเหนื่อยเพื่อปูทางให้คนข้างหลัง เพื่อไม่ให้คนสร้างสะพานเสียความตั้งใจ เราต้องผ่านสะพานนี้ขึ้นไปถึงยอดเขาให้ได้ คิดอย่างนี้แล้วก็เดินต่อไป

เห็นป้ายนี้แล้วกำลังใจเพิ่มอีกมากเลย เหลืออีกแค่ 600 เมตรเอง (ลืมเรื่องความชันไปเลย ขอบคุณคนทำป้ายและคนที่แบกป้ายขึ้นมาติดนะครับ)

เดินต่อไปก็เจออีกหนึ่งป้าย คราวนี้เหลือแค่ 200 เมตร แต่จากป้ายนั้นถึงป้ายนี้ก็เดินเหนื่อยพอสมควรเลย 55

คราวนี้มองไปข้างหน้าแล้วไม่ได้เจอแค่ความชัน แต่ยังมีความหวังรออยู่ เพราะมองเห็นประตูโทริ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าแล้ว

ณ จุดนี้ไม่ใช่แค่ประตูโทริ แต่มองเห็นหลังคาศาลเจ้าด้วย

แล้วก็เจอร้านอาหาร ซึ่งตามแผนที่บอกว่าร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณยอดเขา


ถัดจากร้านอาหารไม่ไกล ก็มองเห็นคนต่อแถวถ่ายรูปกัน เดินเข้าไปใกล้ๆ จึงรู้ว่านี่คือจุดสูงสุดของภูเขา ในที่สุดก็มาถึงยอดเขา Oyama แล้ว



นั่งเติมพลังบนยอดเขาสักพักใหญ่ๆแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับลงไป ก่อนลงก็ถ่ายอีกซักภาพแล้วกัน

ตอนเดินลงใช้เวลาเร็วกว่าตอนเดินขึ้น และใช้แรงน้อยกว่า แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเส้นทางค่อนข้างชัน และลื่นมากๆด้วย เห็นคนญี่ปุ่นข้างหน้าลื่นไปหลายคน ก็เลยคิดว่าค่อยๆเดินดีกว่า ตอนขากลับแฝงตัวเข้าไปเดินอยู่กลุ่มเดียวกับชุดลูกเสือ ฟังลูกเสือน้อยญี่ปุ่นคุยกันก็เพลินไปอีกแบบ เด็กๆอยู่ที่ไหนก็น่ารัก

เมื่อกลับลงมาถึงศาลเจ้า Afuri ก็สังเกตเห็นรูปปั้นเด็กสองคน คิดว่ารูปปั้นนี้น่าจะเกี่ยวกับเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองเด็กๆ เลยเป็นเหตุผลให้พ่อแม่พาลูกๆ มาขอพรจากศาลเจ้านี้ แต่ทั้งหมดคือการเดา ถ้ามีเวลาจะลองค้นหาคำตอบดูอีกทีว่ารูปปั้นนี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร


แต่ตอนนี้ทำภารกิจเร่งด่วนก่อนคือหาที่นั่งพัก เพราะรู้สึกว่าขาจะเริ่มล้าแล้ว นั่งพักไปด้วย เก็บเกี่ยวอารมณ์สบายไปด้วย ผ่อนคลายทั้งกายและใจ



เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนก็มารวมตัวกันที่จุดนัดพบ แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินอีกรอบเพื่อไปต่อแถวรอขึ้นรถรางกลับลงไปข้างล่าง

เมื่อรถรางมาถึงก็ได้เวลา sayonara Oyama จริงๆแล้ว ขอบคุณ Oyama สำหรับประสบการณ์ดีๆในครั้งนี้ แม้บอกไม่ได้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ แต่บอกได้เลยว่าต้องหาโอกาสกลับมาอีกแน่ๆ ぜひ戻ってきますよ、大山。では、僕のことを忘れないでくださいね。

Comments

Popular posts from this blog